Custom Search

Friday, October 3, 2008

ภาษา Hi5 ภาษา msn ภาษาเพลง ภาษาควาย ภาษาไทย ภาษาคน..!!




ความ "เคยชิน"
ความ "สนุก" ผสมกับความ "มักง่าย" และ กระทำบ่อยๆ
บวกกับความที่เป็นคน "ไม่คิดมาก" แถม "เสพติดแฟชั่น" ได้ง่าย
และ ความที่คิดว่า "คงไม่เป็นไร"
หนำซ้ำก็ไม่มีใครตักเตือน !

บัดนี้ - วันนี้
คงไม่ใช่เพียงแค่ "โลกออนไลน์" เท่านั้น
แต่..ภาษาไทยจาก "สามัญสำนึก" ของ "คนไทย"
ส่ออาการเป็นง่อย ไร้สาระ ปัญญาอ่อน บ้าบอจนเข้าขั้นวิบัติ
"กัดกิน" มาถึงกระดูกของ "โลกในชีวิตจริงๆ" กันแล้ว !

เห็นได้ชัดกับเด็กๆมัธยมต้น - จนถึงปลาย
เขียนการบ้านส่งอาจารย์เป็น ภาษา Hi5 ไม่ก็ ภาษาที่ใช้ส่วนตัวใน msn
เริ่มจากลองเขียนเป็น "คำคำ" ไปก่อน เอาแค่คำที่ใช้บ่อยๆ
ไม่มีใครทราบว่าที่เขียน "เพราะชิน" หรือ อยากแค่ "แหย่อาจารย์" เล่น
เช่น.. - คำว่า เป็น เขียน เปน หรือ เปง
- คำว่า ครับ เขียน คร๊าฟ หรือ คร๊าบบ
- คำว่า คุณ เขียน คุง
- ฯลฯ

แต่เมื่อผ่านตาอาจารย์ โดยไม่ได้รับการท้วงติง
เด็กบางคนก็เริ่มสนุก เขียนมาครั้งใหม่เลยเอากันมาทั้งประโยคเลย
และ ระบาดลามแผ่ไปเป็นกลุ่มในชั้นเรียน
มองเป็นเรื่องโก้เก๋ ทันสมัย อยู่ในเทรนด์ที่สังคมเขาทำกัน
หากใครไม่เขียนอะไรเช่นนี้ - ก็เชย !

เด็กๆบางคนมันคิดกันอย่างนี้จริงๆ !!

เชิญอ่านตัวอย่างของความปัญญาอ่อน
ที่เด็กๆวัย 13 - 18 ปียุคนี้ กำลัง "อิน" โดยไม่ลืมหูลืมตา

ภาษาคน - เป็นอะไรก็ช่าง ขอให้เป็นคนดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - เปงอารายก้อจั้ง ขอให้เปงคงดี
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - เปนอารายยก้อชั่ง ขอห้ายเปนคงดี

ภาษาคน - คุณอย่าคอมเม้นท์เกินสามบรรทัดก็แล้วกัน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 1 - คุงหย่าเม้นเกิน ๓ บันทัดก้อแล้วกาน
ภาษาปัญญาอ่อนคนที่ 2 - คุงอย่าเม้นๆๆเกิน 3 บังทัดก้อแล้วกานน

ฯลฯ

นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างเล็กๆ (ขอย้ำว่าเล็กๆ)
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นอยู่ ได้ลุกลามไปใหญ่โต
และเกินเลยไปกว่านี้มากแล้ว

หนำซ้ำเด็กบางส่วน
ยังเคยอ้างว่าเห็นผู้ใหญ่ที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือบางคน
ก็ใช้ภาษาปัญญาอ่อนอย่างนี้แหละเวลาเล่น Hi5 หรือคุยใน msn
ผู้ใหญ่ยังทำ แล้วเด็กจะไปเหลืออะไร ?!
ยิ่งกับเด็กที่ไร้วุฒิภาวะ คิดไม่ได้ มีชีวิตอยู่กับ Hi5 และ msn
มีโลกผูกติดอยู่กับอินเตอร์เน็ตทั้งวัน - ทั้งคืน

ผู้ใหญ่บางคนอาจจะบอกว่า..
ช่างมันเถอะ - มันก็อยู่แค่ในคอมพิวเตอร์ ใช้กันในคอมพิวเตอร์เท่านั้น
คงไม่มีใครเอาภาษาเหล่านี้มาใช้ในชีวิตจริงๆหรอก !!
นี่ไงครับ - น้อยไปสิ !
ไอ้ที่ไม่รู้ ไม่เห็น ก็ไม่รู้อีกเท่าไหร่ ?!
ที่เคยชิน สนุกกับความมักง่าย นำไปใช้ในทางผิดๆ !!

หากไม่ช่วยกันยับยั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังกันบ้าง
เช่น..อย่างน้อยๆก็ควรเข้มงวดในห้องเรียน
หรือ คอยอบรมแนะนำให้เห็นโทษของการใช้ภาษาไทยผิดๆจนเป็นนิสัย
ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียน "ภาษาไทย" กันแล้ว !

ภาษาที่ถูกต้อง ก็เป็น "ศิลปะ" ที่สวยงามได้
โดยไม่ต้องปรับแต่งให้พิสดาร จนผิดการเขียน ผิดรูปความหมาย
และ ผิดต่อความรู้สึก !
แม้บางครั้ง - บางคนจะบอกว่าการเขียน "ผิดผิด" เช่นนี้
เป็นการเพิ่มอรรถรสในการสนทนาให้สนุกยิ่งขึ้นก็ตาม
ความเคยชินและการมองข้ามความผิดปกติกันจนเป็นนิสัย
กำลัง "ทำลาย" คูณค่าทางภาษาไปอย่างน่าเสียดาย - โดยไม่รู้ตัว

นึกไม่ออกเลย..
หากต่อๆไปภาษาที่อยู่ในเพลง
จะเต็มไปด้วย "ภาษาขยะ" ที่เข้าใจและยอมรับกันฉาบฉวยเพียง "บางกลุ่ม"
แต่กลับระบาดหนักจนเต็มบ้านเต็มเมือง
หลุดออกนอกกรอบจนยากเกินจะควบคุม

-----

จริงๆแล้วเรื่องเช่นนี้กล่าวหาว่าแต่เด็ก - ก็คงไม่ถูกทั้งหมด
แบบอย่างของความ "มักง่าย" บางส่วนก็มาจาก "ผู้ใหญ่" นั่นแหละ
ผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างของความ "ปัญญาอ่อน"
บางคนที่ทั้งอาการหนัก และ เป็นเอามาก
เข้าขั้นเป็นโรค "ป่วยทางภาษา" ก็มีไม่น้อย !

มองว่าเขียนโดยใช้คำแบบนี้แล้ว จะดู "อายุน้อย" ดูเป็นเด็ก ดูน่ารัก
ดูร่วมสมัย ร่วมวัย ร่วมสังคมกับคนในโลกออนไลน์ได้
คิดแต่จะ "ตาม ตาม ตาม" โดยไม่คำนึงถึงเรื่อง "ผิด - ถูก" เช่นนี้
เด็กที่ "รักดี" และกำลังไม่แน่ใจว่าเขียนอะไรเช่นนี้ - ดีหรือเปล่า ?
เมื่อเห็น "ผู้ใหญ่เฮงซวย" เป็นเสียเอง..

..หลังจากนี้ก็คงไม่ต้องเดา ?!

อะไรที่ "มากเกินไป"
เกินขอบเขต เกินยับยั้งชั่งใจ กลายเป็น "ความเคยชิน"
แม้ในใจจะรู้ว่า "ไม่ดี - ไม่ควร"
แต่กระแสสังคมก็มักจะโหมให้ "คนอ่อนแอ" คล้อยตามได้เสมอ
จนทำให้บางคนที่ว่า "ทำผิด" อยู่ทุกวัน - ยังไม่รู้ว่ามีสักวันที่ "ผิด" !!

ไม่ต่างกับมี "ภาษาคน" ให้ใช้
แต่กลับไปนิยมใช้ "ภาษาควาย"
เขียนควาย พูดควาย คนปกติส่วนใหญ่ก็ย่อมจะไม่เข้าใจ !!

-----

มีภาษาของเราเองให้ภาคภูมิใจ - ดีจะตาย
เป็น "ศิลปะชั้นเลิศ" อยู่คู่แผ่นดิน ที่ไม่ต้องเป็น "ศิลปินชั้นสูง" ก็เขียนได้
เพียงแค่ตั้งใจเขียนให้ "ถูกต้อง" ความงดงามและมีเสน่ห์ทางภาษาก็จะเกิด
และ ยังสะท้อนให้เห็นแก่นแท้ในหัวใจของ "คนไทย"
ว่าเรารัก "ภาษาไทย" มากแค่ไหน ?
















เครดิต คุณแจ๊ค รัสเซล แห่ง Pantip.com

No comments: